พื้นฐานโป๊กเกอร์ สำหรับมือใหม่ มีอะไรต้องรู้บ้าง

    พื้นฐานโป๊กเกอร์ ถือเป็นเกมไพ่รูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเกมไพ่ที่เล่นยากและต้องใช้เทคนิคการเล่นขั้นสูง บนเกมการแข่งขันที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและการปั่นประสาทจากอีกฝ่าย แถมยังใช้เวลาฝึกเล่นนานอีกด้วย ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นเกมที่นักเดิมพันรุ่นใหม่สนใจที่จะเล่นเป็นอย่างมาก เพราะนี่คือเกมที่ทุกคนมีโอกาสชนะพอ ๆ กัน สำหรับใครที่สนใจเล่นไพ่โป๊กเกอร์ล่ะก็ เราไปดูกันดีกว่าว่ามีเรื่องพื้นฐานอะไรบ้างที่ควรรู้เอาไว้

พื้นฐานโป๊กเกอร์ สำหรับมือใหม่ มีอะไรต้องรู้บ้าง

อุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่น

  1. ไพ่ 1 สำรับ
  2. ผ้าปูสำหรับโป๊กเกอร์
  3. โต๊ะและเก้าอี้
  4. ชิพเดิมพัน
  5. ปุ่ม (Button) เอาไว้แสดงตำแหน่งของผู้เล่นแต่ละคน
  6. ผู้เล่นจำนวน 2 – 8 คน และดีลเลอร์อีก 1 คน

การนับแต้มไพ่

สำหรับ พื้นฐานโป๊กเกอร์ นั้นไพ่แต่ละใบจะมีแต้มที่แตกต่างกันไปดังนี้

  • ไพ่ A มีค่าเท่ากับ 1 แต้ม แต่ถ้าอยู่ในชุดไพ่เรียงจะกลายเป็นไพ่ที่มีแต้มสูงสุด
  • ไพ่ 2 – 10 จะมีแต้มเท่ากับตัวเลขหน้าไพ่
  • ไพ่ J มีค่าเท่ากับ 11 แต้ม
  • ไพ่ Q มีค่าเท่ากับ 12 แต้ม
  • ไพ่ K มีค่าเท่ากับ 13 แต้ม

เรื่องพื้นฐานอีกเรื่องที่สำคัญมาก ห้ามมองข้ามเด็ดขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งมือใหม่ทั้งหลาย วันนี้จะพาไปรู้จักกับ ชนิดและกติกา โป๊กเกอร์ รู้ไว้ไม่มีหลง

     นอกจากนี้ดอกไพ่ยังมีผลต่อการตัดสินแพ้ชนะด้วย ในกรณีที่ไพ่มีแต้มเท่ากัน โดยดอกไพ่จะเรียงจากใหญ่ไปหาเล็ก คือ โพธิ์ดำ (♠) > โพธิ์แดง() > ข้าวหลามตัด() > ดอกจิก(♣) ยกตัวอย่างเช่น ไพ่ 3♠ มาเจอกับไพ่ 3♥ จะถือว่าไพ่ 3♠ ชนะ เป็นต้น

ลำดับไพ่

     ในกรณีที่เหลือผู้เล่นในรอบสุดท้ายมากกว่า 1 คน การตัดสินผลแพ้ชนะจะดูจากการจัดชุดไพ่ของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร โดยผู้เล่นที่มี,nที่ดีที่สุดจะเป็นผู้ชนะในเกมนั้น ซึ่งในเกมโป๊กเกอร์มีการจัดชุดไพ่เรียงตามลำดับจากใหญ่สุดไปเล็กสุด ดังนี้

     Royal Flush เป็นชุดไพ่ที่ใหญ่ที่สุด ประกอบไปด้วยไพ่เรียง A, K, Q, J และ 10 ที่มีดอกเดียวกัน โอกาสที่จะเกิดไพ่รูปแบบนี้มีน้อยมาก เพียงแค่ 0.00015% เท่านั้น

Royal Flush พื้นฐานโป๊กเกอร์

     Straight Flush เป็นชุดไพ่ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง เงื่อนไขการเกิดไพ่ชุดนี้ก็คือจะต้องเป็นไพ่แต้มเรียงกัน 5 ใบ และต้องมีดอกเดียวกัน แม้ว่าโอกาสออกมีมากกว่า Royal Flush แต่ก็มีโอกาสเกิดได้แค่ 0.0015% เท่านั้น

Straight Flush พื้นฐานโป๊กเกอร์

     Four of kind เป็นไพ่แต้มเดียวกัน 4 ใบ โอกาสออกอยู่ที่ 0.024%

Four of kind พื้นฐานโป๊กเกอร์

     Full House เป็นชุดไพ่ที่ประกอบด้วยไพ่ตอง 1 ชุด และไพ่คู่อีก 1 ชุด โอกาสออกไพ่นี้คือ 0.14% ส่วนการตัดสินผลจะดูจากไพ่ตองก่อน แล้วค่อยไปดูไพ่คู่ว่าใครใหญ่กว่ากัน

Full House

     Flush เป็นชุดไพ่ดอกเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเรียงแต้มกันก็ได้ โอกาสออกไพ่ 0.2% ในกรณีที่มีผู้เล่นได้ไพ่ชุดเดียวกันจะนับตัวใหญ่สุดเป็นตัว Kicker

Flush

     Straight เป็นชุดไพ่เรียงแบบคละดอกได้ หากมีผู้เล่นได้ไพ่นี้เหมือนกันก็ใช้ตัวที่ใหญ่ที่สุดเป็นตัว Kicker ในกรณีที่มีไพ่ A อยู่ใน Straight ถ้าเรียง A, K, Q, J, 10 ไพ่ A จะใหญ่สุด แต่ถ้าเป็น 5, 4, 3, 2, A แบบนี้ถือว่าไพ่ A เล็กสุด โอกาสเกิดไพ่อยู่ที่ 0.39%

Straight

     Three of kind เป็นชุดไพ่ตอง 1 ชุด หากมีคนอื่นออกเหมือนกัน ให้ใช้ไพ่อีก 2 ใบที่เหลือเป็นตัว Kicker โอกาสออกคือ 2.1%

Three of kind

     Two Pair เป็นชุดไพ่ที่ประกอบไปด้วยไพ่คู่ 2 ชุด การตัดสินจะพิจารณาจากไพ่คู่แรกก่อน แล้วค่อยดูคู่ที่สอง หากยังเท่ากันจะใช้ไพ่ใบสุดท้ายเป็น Kicker โอกาสเกิดไพ่ชุดนี้มีมากถึง 4.75%

Two Pair

     One Pair เป็นชุดไพ่ที่มีไพ่คู่แค่คู่เดียว หากเจอไพ่คู่เหมือนกันกับผู้เล่นอื่น จะใช้ไพ่ที่เหลือเป็น Kicker โอกาสที่จะเกิดไพ่นี้คือ 42%

One Pair

     Hight Card เป็นไพ่ที่มีโอกาสเกิดมากที่สุดในบรรดาชุดไพ่ทั้งหมด เพราะเป็นไพ่ที่ไม่มีการเรียงติดอะไรเลย โอกาสเกิด 50% การติดสินแพ้ชนะจะดูแต้มว่าใครสูงกว่ากัน หากเท่ากันก็แบ่งเงินกองกลางกันไป

Hight Card

     โดยทั่วไปแล้วการแล่นไพ่ Hight Card จะไม่นิยมกันเพราะว่ามันมีความเสี่ยงสูง ส่วนมากก็จะมีคนติด One Pair กันทุกรอบอยู่แล้ว ดังนั้นคนส่วนใหญ่เวลาไม่ติดไพ่เรียงดี ๆ หรือติดไพ่คู่ตั้งแต่ช่วง Flop ก็มักจะหมอบกัน เว้นแต่พวกเก๋าเกมจริง ๆ และมีทุนหนาพอที่จะบลัฟเพื่อกดดันให้คนอื่นหมอบจนหมดก่อนถึงรอบสุดท้าย เพื่อจะได้เป็นผู้ชนะโดยไม่ต้องเปิดไพ่นั่นเอง

เมื่อได้ทำความรู้จักกับชนิดและกติกาของโป๊กเกอร์ไปแล้ว อีกอย่างนึงที่จำเป็นต้องเรียนรู้เช่นกันนั่นคือ คำศัพท์ ซึ่งเราก็เลย รวบรวมศัพท์โป๊กเกอร์ สำหรับผู้เริ่มต้น มาฝากกันในวันนี้ 

     จากลำดับไพ่ทั้งหมดที่กล่าวมา เราจะเห็นว่ามีหลายครั้งที่ Kicker จะเข้ามามีบทบาทในการตัดสินแพ้ชนะ ซึ่งคุณสมบัติของไพ่ที่จะเป็น Kicker ได้นั้นจะต้องเป็นไพ่ที่มีแต้มสูงสุดและไม่ใช่ไพ่ที่ถูกจัดชุดไว้แล้ว หรือก็คือไพ่เศษนั่นเอง

     ยกตัวอย่างเช่น ไพ่กองกลางมี A♦, 9♥, 9♠, J♦, 4♠ ผู้เล่นคนที่หนึ่งมีไพ่ A♣, 2♣ ผู้เล่นคนที่สองมีไพ่ A♥, 7♥ เท่ากับว่าตอนนี้ทั้งคู่ติดไพ่ One Pair คู่ AA ไพ่ 2♣ ของคนแรก กับไพ่ 7♥ ของอีกคนจะทำหน้าที่เป็น Kicker เมื่อเอาทั้งคู่มาชนกันผลก็คือไพ่ 7♥ ใหญ่กว่า 2 ผู้เล่นคนที่สองเป็นฝ่ายชนะ

Similar Posts